สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดเสวนา “ฝ่าวิกฤติพลังงานโลก ทางรอดพลังงานไทย” ท่ามกลางวิกฤติราคาพลังงานแพง ปลัดพลังงานระบุเตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เดือน พ.ย. 2565 ให้ของขวัญปีใหม่ประชาชน โดยออกมาตรการบรรเทาผลกระทบราคาพลังงาน พร้อมตรึงค่าไฟฟ้างวดแรกปี 2566 (ม.ค.-เม.ย.) ไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ยืนยันดูแลผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย และ 500 หน่วยต่อไป พร้อมเผยแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ มุ่งส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 10,900 เมกะวัตต์ วันนี้ 27 ต.ค. 2565 สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดเสวนา “ฝ่าวิกฤติพลังงานโลก ทางรอดพลังงานไทย” โดยมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นางสาวสมฤดี พู่พรอเนก รองอธิบดีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และนักแสดงชั้นนำ แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน บรรยายในหัวข้อ “ถอดบทเรียนวิกฤติพลังงานโลก สะเทือนถึงไทย” ว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นมากจากปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานเข้าไปดูแลทั้งค่าไฟฟ้า,ราคาดีเซลไม่ให้เกิน 35 บาทต่อลิตร และปัจจุบันยังตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ไว้ที่ 408 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปชดเชยราคา อย่างไรก็ตามหลังจากนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมมาตรการหลายด้านเพื่อดูแลราคาพลังงานในประเทศ โดยจะพยุงอัตราค่าไฟฟ้าระหว่างไตรมาส 4 ปี 2565 ถึง ไตรมาส 1 ของปี 2566 ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 4.72 บาทต่อหน่วย เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยหากราคาก๊าซธรรมชาติเหลว ( LNG ) สูงเกิน 25 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ก็จะให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และโรงไฟฟ้าเอกชน หันไปใช้น้ำมันดีเซลเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าทดแทนก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าจะใช้ดีเซล ประมาณ200-300 ล้านลิตร รวมถึงขยายระยะเวลาปลดระวางโรงไฟฟ้าแม่เมาะ(ถ่านหิน) โรงที่ 8 ที่ได้หมดอายุไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2564 ให้ยืดอายุต่อไปอีก 2 ปี ทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพิ่มประมาณ 300 เมกะวัตต์ ในอัตราประมาณ 2-3 บาทต่อหน่วยและยังมีแผนให้นำโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงที่ 4 ที่ปลดระวางไปแล้ว กลับมาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะมีความชัดเจนใน 2-3 เดือนข้างหน้า โดยจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเข้าระบบอีก 200 เมกะวัตต์ นอกจากนี้จะต้องเร่งการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งในประเทศ ทั้งการเร่งเพิ่มกำลังผลิตก๊าซฯ แหล่งเอราวัณ และเพิ่มการผลิตก๊าซฯแหล่งอื่นๆ ตลอดจนการจัดซื้อก๊าซฯจากประเทศเมียนมาเพิ่มเติมทั้งแหล่งซอติก้า และยาดานา รวมถึงซื้อก๊าซฯเพิ่มจากองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย หรือ MTJA รวมทั้งการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาวเพิ่มเติม “กระทรวงพลังงาน เตรียมจัดทำของขวัญปีใหม่ให้คนไทย โดยจะเสนอในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( กพช.) ในเดือน พ.ย. 2565 นี้ เพื่อพิจารณาทั้งเรื่องของราคาก๊าซหุงต้ม ( LPG) และค่าไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งในส่วนของค่าไฟฟ้า ยังจะดูแลกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย และ 500 หน่วยต่อไป รวมถึงจะมีมาตรการเสริมสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปด้วย” นอกจากนี้จะส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(EV) เพื่อลดการใช้น้ำมัน ซึ่งจากข้อมูลช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ยอดซื้อรถ EV เพิ่ม 223% หรือ อยู่ที่ 13,298 คัน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ก็อยู่ระหว่างจัดทำมาตรการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ เพื่อลดต้นทุนรถ EV ให้ประชาชนเข้าถึงรถ EVได้ง่ายขึ้น รวมถึงดูแลเรื่องของการจัดทำระบบชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน เพื่ออำนวยความสะดวก ขณะเดียวกัน 3 การไฟฟ้า คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) , การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ( PEA) ก็ได้เร่งประสานงานจัดทำเรื่องข้อมูลเชื่อมโยงการใช้แอปพลิเคชันรองรับการใช้งานรถ EV ที่หลากหลายยี่ห้อให้สามารถเชื่อมฐานข้อมูลทั้งระบบ และในช่วงกลางปี 2566 กฟผ.จะเริ่มจัดทำระบบชำระค่าบริการชาร์จไฟฟ้าของรถ EV ที่ชำระร่วมกันได้ พร้อมกันนี้กระทรวงพลังงานจะเร่งส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เข้าสู่ระบบตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ หรือ PDP ฉบับใหม่ รวมกว่า 10,900 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ถึง6,000 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อนของ กฟผ. 2,700 เมกะวัตต์ ,โซลาร์ฟาร์ม 3,000 เมกะวัตต์ ,โซลาร์รูฟท็อป 300 เมกะวัตต์ นอกจากนี้จะมีการผลิตไฟฟ้าพลังงานลม 1,500 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยกำหนดไว้เพียง 500 เมกะวัตต์ ,ชีวมวลและก๊าซชีวภาพ 800 เมกะวัตต์, ขยะอีก 600 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ และขยะอุตสาหกรรม200 เมกะวัตต์ และไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ 2,000 เมกะวัตต์ ดังนั้น การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 เมกะวัตต์ในอนาคต ภาครัฐจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบส่งไฟฟ้าให้ทันสมัย ทำเรื่องสมาร์ทกริด และสมาร์ทมิเตอร์ ให้พร้อมรองรับเรื่องของพลังงานหมุนเวียน และรถ EV ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต สำหรับความคืบหน้าการกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หลังจากกระทรวงการคลัง ได้เข้ามาค้ำประกันเงินกู้วงเงิน150,000 ล้านบาท ตามกำหนดระยะเวลา 1 ปี (6 ต.ค. 2565-5ต.ค.2566) นั้น ทางสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง( สกนช.) ได้จัดทำรายละเอียดการใช้เงิน และแผนชำระหนี้มาเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)แล้ว คาดว่า จะออกประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินร่วมเสนอเงินกู้ได้ต้นเดือน พ.ย. 2565 นี้ และน่าจะได้รับเงินกู้ก้อนแรกในเดือน พ.ย. 2565 นี้ เช่นกัน เบื้องต้นแผนเงินกู้จะเป็นการทยอยกู้เงิน 12 งวด โดย 1-2 งวดแรก วงเงินอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท งวดต่อไปวงเงิน20,000 ล้านบาท แต่จะต้องกู้เงินให้เสร็จตามระยะเวลาเงื่อนไข 1 ปี แต่ในส่วนของการชำระเงินกู้ยังดำเนินการไปต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตที่เคยกู้เงิน 70,000 ล้านบาท จะใช้เวลาชำระคืนประมาณ 3-4 ปี สำหรับราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2565 นี้ คาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 95-98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ น้ำมันดิบยังมีความต้องการใช้สูงขึ้น เพราะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในต่างประเทศทำให้ราคาพลังงานในช่วงปลายปียังมีความเสี่ยงด้านราคา โดยประเมินว่า ช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 นี้ ราคาก๊าซLNG จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 40-50 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ขณะที่ดูราคา spot LNG เดือน ธ.ค.นี้ คาดว่า จะอยู่ที่ 30 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู ขณะที่ มอร์แกน สแตนเลย์ คาดการณ์ปี 2566 ราคา LNG จะอยู่ที่ 39 เหรียญสหรัฐฯต่อล้านบีทียู และไตรมาส 2 จะปรับขึ้นไปแตะ 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของกลุ่มปริซึม ปตท. (PTT PRISM) มองว่า จะอยู่ประมาณ 39 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน ประเมินว่า หากราคาน้ำมันดิบในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 100-110 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ยังเป็นระดับที่บริหารจัดการได้ เพราะปัจจุบัน กองทุนน้ำมันฯ ก็ใช้เงินเข้าไปพยุงราคาดีเซล ประมาณ 2-3 บาทต่อลิตรเพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกเกิน 35 บาทต่อลิตร จากก่อนหน้านี้ ที่ต้องเข้าไปพยุงถึง 14 บาทต่อลิตร ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบแตะระดับ 150 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล นายกุลิศ กล่าวว่า ภาครัฐได้งัดมาตรการเข้ามาดูแลผลกระทบราคาพลังงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือ คนไทยทุกคนจะต้องตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า และต้องเริ่มเรื่องการประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง เพราะ ค่าไฟฟ้า จะไม่ใช่ของถูกอีกต่อไป ดังนั้น กลุ่มบ้านอยู่อาศัย ก็ต้องเริ่มการประหยัดตั้งแต่อุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น แอร์ และขยายสู่ระดับสาธารณะ เช่น ญี่ปุ่น ที่เปิดแอร์ 28 องศาในอาคาร เป็นต้น แต่ที่สำคัญสถานประกอบการขนาดใหญ่เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงงาน ที่มีสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าปริมาณสูงจะต้องมุ่งเรื่องการประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง ก็จะช่วยประเทศประหยัดต้นทุนนำเข้าเชื้อเพลิงลงได้ นางสาวสมฤดี พู่พรอเนก รองอธิบดีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่กินเวลายาวนานมากว่า 8 เดือน และน่าจะยังยืดเยื้อต่อไปอีก ทำให้เกิดวิกฤติพลังงานไปทั่วโลก โดยทำให้อุปทานลดลง และราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลกระทบต่อเนื่องให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับสูง และกระทบภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 2 ของโลก และส่งออกก๊าซธรรมชาติ อันดับ 1 ของโลกสำหรับในส่วนของสหภาพยุโรป (อียู) ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน เพราะพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียในสัดส่วนสูงมาก โดยนำเข้าก๊าซธรรมชาติ สัดส่วน 40% น้ำมัน 27% และถ่านหิน 46% คิดเป็นมูลค่า 3,714 ล้านบาทส่งผลให้ยุโรปต้องออกกฎหมาย และมาตรการต่างๆ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย ทั้งนี้พลังงานเป็นเรื่องสำคัญมากของยุโรป โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อียูจึงต้องออกกฎหมาย และมาตรการต่างๆเพื่อช่วยลดผลกระทบให้กับประชาชน และลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียให้ได้ โดยตั้งเป้าหมายลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียให้ได้ 2 ใน 3 ภายในปีนี้ ล่าสุดเหลือการนำเข้าเพียง 20% แล้ว รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในยุโรปให้ได้ 45% ภายในปี 2573 รวมถึงแสวงหาแหล่งพลังงานจากที่อื่น เพิ่มการสำรองก๊าซธรรมชาติให้ได้ 80% ล่าสุดสำรองเพิ่มได้มากกว่า 85% แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน เพื่อลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นด้วย …